คำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดายังงัย เงินได้สุทธิเท่าไรเสียภาษีตามอัตราขั้นบันไดเท่าไร?
- วางแผนการเงินกับอาจารย์ปิงวันนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากันนะครับ ทั้งนี้ใครก็ตามที่มีรายได้เกิดขึ้นระหว่างปีภาษี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมถึง 31 ธันวาคมของปีใดๆ ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยต้องรวบรวมรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นทุกประเภทของตนเองตลอดปีภาษีไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตอนสิ้นปี เพื่อยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีที่มีเงินได้ ส่วนใครที่ยังไม่ทราบว่ารายได้ขั้นต่ำเท่าไรถึงต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือยังไม่ทราบว่ารายได้หรือเงินได้พึงประเมินที่นำมาคำนวณภาษีมีทั้งหมดกี่ประเภท และเงินได้ที่กฎหมายยกเว้นภาษี หรือที่ไม่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษี มีอะไรบ้างสามารถติดตามรายละเอียดได้จากลิงค์ที่ใส่ให้ไว้ในคอมเมนต์ด้านล่างนะครับ
- การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามี 2 วิธี ผู้มีเงินได้ที่มีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 เท่านั้นหรือพูดง่ายๆก็คือมนุษย์เงินเดือนที่ไม่มีรายได้จากแหล่งอื่นๆอีกจะคำนวณภาษีตามวิธีที่ 1 เพียงวิธีเดียว แต่ถ้าหากผู้มีเงินได้มีเงินได้พึงประเมินทุกประเภทแต่ไม่รวมเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 ตลอดปีภาษีรวมกันตั้งแต่ 120,000 บาทขึ้นไป จะต้องคำนวณภาษีตามวิธีที่ 2 ด้วย แล้วพิจารณาเปรียบเทียบภาษีตามวิธีการคำนวณทั้ง 2 วิธี โดยต้องเสียภาษีตามจำนวนที่คำนวณได้สูงกว่า
การคำนวณภาษีตามวิธีที่ 1
- ให้นำเงินได้พึงประเมินทุกประเภทรวมกันตลอดปีภาษี หักออกด้วยค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด เหลือเป็นเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย แล้วค่อยหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด (แต่ไม่รวมค่าลดหย่อนเงินบริจาค) เหลือเป็นเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ แล้วจึงนำไปหักค่าลดหย่อนเงินบริจาค แต่ต้องไม่เกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด เหลือเป็นเงินได้สุทธิซึ่งจะต้องนำไปคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือก็คือจำนวนภาษีตามการคำนวณภาษีวิธีที่ 1 นั่นเอง
- ทั้งนี้เงินได้สุทธิตั้งแต่ 0 - 150,000 บาท จริงๆแล้วจะมีอัตราภาษี 5% แต่ปัจจุบันได้รับยกเว้นภาษี ส่งผลทำให้ภาษีสูงสุดและภาษีสะสมสูงสุดในขั้นเงินได้สุทธินี้เท่ากับ 0 บาท
- ขั้นเงินได้สุทธิ เกิน 150,000 - 300,000 บาท อัตราภาษี 5% ส่งผลทำให้ภาษีสูงสุดและภาษีสะสมสูงสุดในขั้นเงินได้สุทธินี้เท่ากับ 7,500 บาท
- ขั้นเงินได้สุทธิ เกิน 300,000 - 500,000 บาท อัตราภาษี 10% ส่งผลทำให้ภาษีสูงสุดในขั้นเงินได้สุทธินี้เท่ากับ 20,000 บาท และภาษีสะสมสูงสุดในขั้นเงินได้สุทธินี้เท่ากับ 27,500 บาท
- ขั้นเงินได้สุทธิ เกิน 500,000 - 750,000 บาท อัตราภาษี 15% ส่งผลทำให้ภาษีสูงสุดในขั้นเงินได้สุทธินี้เท่ากับ 37,500 บาท และภาษีสะสมสูงสุดในขั้นเงินได้สุทธินี้เท่ากับ 65,000 บาท
- ขั้นเงินได้สุทธิ เกิน 750,000 - 1,000,000บาท อัตราภาษี 20% ส่งผลทำให้ภาษีสูงสุดในขั้นเงินได้สุทธินี้เท่ากับ 50,000 บาท และภาษีสะสมสูงสุดในขั้นเงินได้สุทธินี้เท่ากับ 115,000 บาท
- ขั้นเงินได้สุทธิ เกิน 1,000,000 - 2,000,000บาท อัตราภาษี 25% ส่งผลทำให้ภาษีสูงสุดในขั้นเงินได้สุทธินี้เท่ากับ 250,000 บาท และภาษีสะสมสูงสุดในขั้นเงินได้สุทธินี้เท่ากับ 365,000 บาท
- ขั้นเงินได้สุทธิ เกิน 2,000,000 - 5,000,000บาท อัตราภาษี 30% ส่งผลทำให้ภาษีสูงสุดในขั้นเงินได้สุทธินี้เท่ากับ 900,000 บาท และภาษีสะสมสูงสุดในขั้นเงินได้สุทธินี้เท่ากับ 1,265,000 บาท
- ขั้นเงินได้สุทธิ เกิน 5,000,000 บาท ขึ้นไป อัตราภาษี 35%
เงินได้พึงประเมินทุกประเภทรวมกันตลอดปีภาษี xxxx (1)
หัก ค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด xxxx (2)
เหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย xxxx (3) = (1) - (2)
หัก ค่าลดหย่อนต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด (ไม่รวมค่าลดหย่อนเงินบริจาค) xxxx (4)
เหลือเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ xxxx (5) = (3) - (4)
หัก ค่าลดหย่อนเงินบริจาค ไม่เกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด xxxx (6)
เหลือเงินได้สุทธิ xxxx (7) = (5) – (6)
นำเงินได้สุทธิตาม (7) ไปคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
จำนวนภาษีตามการคำนวณภาษีวิธีที่ 1 xxxx (8)
ขั้นเงินได้สุทธิตั้งแต่ | อัตราภาษี (%) | ภาษีสูงสุด ในแต่ละขั้นเงินได้ |
ภาษีสะสมสูงสุด ของแต่ละขั้นเงินได้ |
0 - 150,000 | 5 | ยกเว้น* | 0 |
เกิน 150,000 - 300,000 | 5 | 7,500 | 7,500 |
เกิน 300,000 - 500,000 | 10 | 20,000 | 27,500 |
เกิน 500,000 - 750,000 | 15 | 37,500 | 65,000 |
เกิน 750,000 - 1,000,000 | 20 | 50,000 | 115,000 |
เกิน 1,000,000 - 2,000,000 | 25 | 250,000 | 365,000 |
เกิน 2,000,000 - 5,000,000 | 30 | 900,000 | 1,265,000 |
เกิน 5,000,000 บาท ขึ้นไป | 35 |
นำเงินได้พึงประเมินทุกประเภทลบเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 แล้วคูณด้วย 0.005 นั่นเอง
ถ้าหากคำนวณตามวิธีที่ 2 แล้วมีภาษีเงินได้ที่ต้องเสียจำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 5,000 บาท ผู้มีเงินได้จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามวิธีที่ 2 แต่ยังคงมีหน้าที่เสียภาษีตามจำนวนที่คำนวณได้ตามวิธีที่ 1
รูปประกอบ
การคำนวณภาษีตามวิธีที่ 2
ยอดเงินได้พึงประเมินทุกประเภทลบเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 xxxx (9)
จำนวนภาษีตามการคำนวณวิธีที่ 2 xxxx (10) = (9)*0.005
หลังจากคำนวณภาษีทั้ง 2 วิธีให้เปรียบเทียบจำนวนภาษีตามการคำนวณทั้ง 2 วิธี โดยจำนวนภาษีคำนวณได้ตามวิธีใดสูงกว่าก็ให้ใช้จำนวนดังกล่าวเป็นจำนวนภาษีเงินได้สิ้นปีที่ต้องเสีย แล้วนำไปหักออกด้วย ภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายแล้ว ภาษีเงินได้ครึ่งปีที่ชำระไว้แล้ว ภาษีเงินได้ชำระล่วงหน้า และเครดิตภาษีเงินปันผล เหลือภาษีเงินได้ที่ต้องเสีย แต่ถ้าหากคำนวณภาษีเงินได้ที่ต้องเสียแล้วพบว่า ภาษีเงินได้ที่เสียไว้เกินก็สามารถขอคืนได้
รูปประกอบ
จำนวนภาษีเงินได้สิ้นปีที่ต้องเสีย เท่ากับจำนวนที่สูงกว่าระหว่าง (8) และ (10) xxxx (11)
หัก ภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายแล้ว xx
ภาษีเงินได้ครึ่งปีที่ชำระไว้แล้ว xx
ภาษีเงินได้ชำระล่วงหน้า xx
เครดิตภาษีเงินปันผล xx xxxx (12)
เหลือ ภาษีเงินได้ที่ต้องเสีย (หรือที่เสียไว้เกินขอคืนได้) xxxx (13) = (11) – (12)
ถ้าหากคุณมีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับการวางแผนการเงิน สามารถสอบถามได้ที่คอมเมนต์ด้านล่าง เพราะวางแผนการเงินกับอาจารย์ปิง อยากมีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยทำให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น มีความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน
ThaiPFA ศูนย์อบรมต้นแบบ สู่เส้นทางคุณวุฒิวิชาชีพนักวางแผนการเงิน CFP มืออาชีพมาตรฐานสากล
Thai Professional Finance Academy (ThaiPFA)
ติดต่อ
086-666-0090 , 082-701-7077 , 087-063-3306
ขอบคุณทุกความไว้วางใจ ที่มีให้ ThaiPFA
#นักวางแผนการเงินCFP มาตรฐานสากลกับThaiPFA #เส้นทางสู่วิชาชีพนักวางแผนการเงินCFP มาตรฐานสากลโดยThaiPFA #ThaiPFA ศูนย์อบรมต้นแบบเพื่อความมั่งคั่งมั่นคงและยั่งยืน
E-mail: thaipfa@gmail.com
Website: www.thaipfa.co.th , www.thaipfaonline.com , www.allaboutfin.com
Social network: www.facebook.com/thaipfa
LINE: @thaipfa
Mobile: 086-666-0090 , 087-063-3306 ,082-701-7077