สมัครสมาชิก เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก เข้าสู่ระบบ
หมดยุคดอกเบี้ยต่ำ ผู้กู้หรือลูกหนี้ต้องเตรียมรับภาระที่เพิ่มขึ้น หลายคนอาจตั้งคำถามว่าดอกเบี้ยขึ้นต้องทำยังไง จะกระทบกระเทือนตัวเราอย่างไรบ้าง
 
หมดยุคดอกเบี้ยต่ำ ผู้กู้หรือลูกหนี้ต้องเตรียมรับภาระที่เพิ่มขึ้น หลายคนอาจตั้งคำถามว่าดอกเบี้ยขึ้นต้องทำยังไง จะกระทบกระเทือนตัวเราอย่างไรบ้าง
 

 
ทั้งนี้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น
อาจจะส่งผลกระทบทั้งในทางบวกและทางลบกับทรัพย์สินที่แต่ละบุคคลเป็นเจ้าของหรือถือครอง
รวมทั้งหนี้สินที่แต่ละบุคคลอาจจะไปกู้ยืมมา
ดังนั้นไม่ว่าเราจะเป็นคนที่มีเงินเหลือเก็บเหลือออมเป็นนักลงทุน
หรือเป็นคนที่ขาดแคลนเงินทุนมีการกู้หนี้ยืมสิน
ทุกคนจึงต้องทำการสำรวจทรัพย์สิน หนี้สิน  และรายจ่ายต่างๆ
เพื่อรับมือกับผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้นจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่กำลังจะปรับตัวเป็นขาขึ้น
อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอาจส่งผลกระทบทั้งในทางที่ดีและไม่ดีต่อมูลค่าของทรัพย์สินที่เราได้ออมและลงทุน
และยังอาจส่งผลกระทบต่อรายได้จากการลงทุนในทรัพย์สินต่างต่างด้วยเช่นกัน
เริ่มต้นจากคนที่มีการออมเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ต่างต่างก็อาจจะยิ้มได้
เพราะแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นก็จะส่งผลทำให้ผู้ฝากมีรายได้จากดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยอาจไม่ได้ขึ้นพร้อมกันทันทีทั้งดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยเงินกู้
นอกจากนั้นใครที่ฝากระยะยาว
เช่น3เดือน
6เดือน
12เดือน   ก็อาจจะต้องรอให้งวดระยะเวลาการฝากที่กำหนด  ถึงจะได้รับดอกเบี้ยในอัตราใหม่ในงวดหน้า
แต่สำหรับคนที่มีการนำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างต่างก็อาจจะยิ้มไม่ค่อยออก
เนื่องจากมูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน
ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตร
หุ้นกู้
หรือหุ้นสามัญ
อาจปรับตัวลดลง  ทั้งนี้เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นก็จะส่งผลทำให้พันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่จะออกมาใหม่ต้องกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นตามท้องตลาด
แต่พันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่มีอยู่เดิมที่มีการออกขายระดมทุนก่อนหน้านี้ซึ่งกำหนดจ่ายดอกเบี้ยด้วยอัตราคงที่
นักลงทุนก็จะได้รับรายได้จากดอกเบี้ยจากพันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่ลงทุนที่คงที่เท่าเดิม
ทำให้พันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่มีอยู่เดิมอาจไม่เป็นที่ต้องการของนักลงทุนในตลาด
ส่งผลทำให้ราคาตลาดปรับตัวลดลง
หากผู้ลงทุนในพันธบัตรหรือหุ้นกู้ต้องการใช้เงิน
ก็อาจจะต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้
ส่วนคนที่มีการแบ่งเงินไปลงทุนในหุ้นสามัญก็อาจพบว่ามูลค่าของเงินลงทุนอาจปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน รวมทั้งรายได้จากเงินปันผลก็อาจลดลง
เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่มักมีการกู้ยืมเงิน เมื่ออัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ต้นทุนทางการเงินของบริษัทก็จะเพิ่มขึ้นตาม
ส่งผลทำให้มีกำไรมาจ่ายเงินปันผลลดลง
รวมทั้งนักลงทุนก็จะมีทางเลือกการลงทุนอื่นๆที่ให้อัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการลงทุนในหุ้นสามัญก็จะเพิ่มขึ้น
เหล่านี้ล้วนส่งผลทำให้มูลค่าของหุ้นสามัญอาจปรับตัวลดลง
ในฝั่งของหนี้สินนั้น อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นก็อาจกระทบกับหนี้สินที่แต่ละบุคคลไปกู้ยืมมาเช่นกัน อย่างไรก็ตามหนี้สินบางประเภทอาจส่งผลทำให้ผู้กู้มีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
ในขณะที่หนี้สินบางประเภทก็อาจไม่ส่งผลกระทบต่อภาระการผ่อนชำระคืนแต่อย่างใด
เริ่มต้นจากหนี้ประเภทที่ไม่ได้รับผลกระทบจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ก็จะเป็นหนี้ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ เช่น หนี้บัตร ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยคง ที่ 16%ต่อปี
หนี้บัตรกดเงินสดและสินเชื่อบุคคลซึ่งกำหนดอัตราดอกเบี้ยคง ที่ 25%ต่อปี
รวมทั้งสินเชื่อรถยนต์ที่มีการคิดดอกเบี้ยคง ที่แบบ Flat Rate ไม่ลดต้นลดดอก
ทั้งนี้หนี้สินที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่
ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ผู้กู้ก็จะมีภาระในการผ่อนชำระเท่าเดิม
ลูกหนี้สินเชื่อดังกล่าวนี้จึงไม่ได้รับผลกระทบในการผ่อนชำระคืน
แต่หนี้ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยลอยตัวจะเป็นหนี้ที่ลูกหนี้หรือผู้กู้อาจมีภาระการผ่อนเพิ่มขึ้น
เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นก็จะส่งผลทำให้ต้องมีภาระการผ่อนที่เพิ่มขึ้น
ตัวอย่างของหนี้สินที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยลอยตัว
เช่นสินเชื่อบ้านที่อยู่อาศัย
เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น ก็จะส่งผลทำให้ผู้กู้อาจต้องมีภาระรายจ่ายในการผ่อนชำระเพิ่มเติม
หรืออาจจะมีภาระในการผ่อนชำระคืนเท่าเดิมแต่มีระยะเวลาในการผ่อนชำระคืนที่ยาวนานขึ้น
หรืออาจจะต้องมีภาระที่ต้องผ่อนชำระงวดสุดท้ายเป็นจำนวนเงินที่เพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ต้องตรวจสอบจากรายละเอียดในสัญญาหรืออาจจะต้องติดต่อสอบถามจากสถาบันการเงินที่ไปกู้ยืมมาเนื่องจากเงินงวดที่ผ่อนชำระคืนจะถูกหักจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้น
เหลือชำระคืนเงินต้นน้อยลง ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นมาก
ก็อาจจะส่งผลทำให้เงินงวดที่ผ่อนชำระคืน
ถูกหักจ่ายดอกเบี้ยจนอาจไม่เหลือไปหักชำระคืนเงินต้น
ในกรณีดังกล่าวนี้สถาบันการเงินอาจทำการติดต่อให้ลูกหนี้เพิ่มจำนวนเงินในการชำระคืนหรือขยายระยะเวลาในการชำระคืน
อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติ
ธนาคารพาณิชย์อาจคำนวณเงินงวดที่ลูกหนี้ต้องชำระคืนโดยมีการคาดการณ์ถึงแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่อาจเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงในระยะยาวเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้หากอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก
ธนาคารพาณิชย์ก็อาจไม่มีการแจ้งให้ลูกหนี้หรือผู้กู้เพิ่มจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระคืน
เนื่องจากการกู้ยืมในระยะยาว
เช่น 20 ปี
หรือ 30 ปี
อัตราดอกเบี้ยอาจมีทั้งการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลง
รวมทั้งลูกหนี้หรือผู้กู้ก็อาจมีการชำระคืนบางงวดที่มีการโปะเงินก้อนเพิ่มเติม
ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น
ถ้าลูกหนี้หรือผู้กู้มีการผ่อนชำระคืนเท่าๆกันทุกๆงวด
เงินงวดที่ผ่อนชำระคืนก็จะถูกนำไปหักดอกเบี้ยซึ่งอาจคิดเป็นจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้น
เหลือเงินงวดไปหักชำระคืนเงินต้นน้อยลง
ในทางตรงกันข้ามในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง
ถ้าลูกหนี้หรือผู้กู้มีการผ่อนชำระคืนเท่าๆกันทุกๆงวด
เงินงวดที่ผ่อนชำระคืนก็จะถูกนำไปหักดอกเบี้ยซึ่งอาจคิดเป็นจำนวนเงินที่ลดลง
ส่งผลทำให้เหลือเงินงวดไปหักชำระคืนเงินต้นมากขึ้น
ดังนั้นใครที่กำลังเป็นผู้กู้หรือลูกหนี้
อาจต้องกลับไปอ่านเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ให้ละเอียดเพื่อพิจารณาถึงผลกระทบของแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
 

ThaiPFA NEWS

เรื่องราวดีๆ ที่อยากบอกเล่า พร้อมข่าวสารและสาระดีๆ ทางการเงิน

ผลงานที่ผ่านมา
portfolio
  • In-House Training, Public Training และบริษัทอื่นๆ...

ความคิดเห็นของผู้เข้าอบรม

หลากหลายความประทับใจ และ คำแนะนำให้อบรมหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP
และหลักสูตรการเงินอื่นๆ กับ ThaiPFA